บทบาทงานวิจัยกับการพัฒนาเมืองน่าอยู่

21 สิงหาคม 2568 สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) นำโดย ดร.เบญจมาส โชติทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการและแผนงาน/ หัวหน้าโครงการ, นางสาวพวงผกา ขาวกระโทก นักวิจัยหลัก และทีมวิจัย จัดประชุมนำเสนอผลการศึกษาและวิเคราะห์แนวโน้มความเป็นเมือง “อนาคตเมืองน่าอยู่: บทบาทงานวิจัยกับการพัฒนาเมือง” ภายใต้โครงการสังเคราะห์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับทุนจากหน่วย บพท. ด้านการพัฒนาเมืองน่าอยู่

การประชุมได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุม โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาเมือง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

ไฮไลต์การนำเสนอ - ดร.ธงชัย โรจนกนันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมืองและสถาปัตยกรรม นำเสนอผลการศึกษา แนวโน้มความเป็นเมืองของประเทศไทย ซึ่งวิเคราะห์พัฒนาการความเป็นเมืองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่ส่งผลต่อเมืองไทย และคุณฉัตรกุล ชื่นสุวรรณกุล ประธานกรรมาธิการด้านการพัฒนาเมือง สมาคมเทศบาลนครและเมือง นำเสนอ งานวิจัยและโซลูชันระดับพื้นที่ ผ่านโปรแกรมบ่มเพาะและการเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด

ความเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วม - เน้นบทบาท ท้องถิ่น ในการกำหนดยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนการพัฒนาเมือง  ย้ำความสำคัญของ องค์ความรู้และงานวิจัยเชิงบูรณาการ ที่สามารถแก้ปัญหาซับซ้อน เช่น น้ำท่วม มลพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เสนอให้เกิดการยกระดับขีดความสามารถของเมือง โดยอาศัยความร่วมมือจากภาควิชาการ รัฐ และเอกชน  และชี้ว่าความล้มเหลวของเมืองหลายแห่งเกิดจากการขาดแผนเชิงป้องกันและการวิจัยรองรับ จึงจำเป็นต้องมีระบบการวิจัยและการวางผังเมืองเชิงรุก

ข้อสรุปสำคัญจากการศึกษา ชี้ว่า เมืองไทยต้องเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ แต่สามารถก้าวสู่ “เมืองน่าอยู่” ได้ด้วยการพัฒนาอย่างบูรณาการ ใช้องค์ความรู้และงานวิจัยสนับสนุนการวางผังเมืองยืดหยุ่น โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต นอกจากนี้การประชุมครั้งนี้ สะท้อนว่า “เมืองน่าอยู่” ไม่ได้หมายถึงเพียงโครงสร้างทางกายภาพ แต่รวมถึงการสร้างระบบความรู้ กลไกความร่วมมือ และการขับเคลื่อนเชิงวิจัยที่จะช่วยให้เมืองไทยสามารถเติบโตอย่าง ชาญฉลาดและยั่งยืน ในศตวรรษที่ 21