กลุ่มงาน: การปรับตัว
ปัญหาภัยแล้งและการรุกคืบของทะเลทรายในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศภูมิภาคแห้งแล้งเป็นปัญหาสำคัญที่คุกคามความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศ องค์การสหประชาชาติจึงได้กำหนดให้วันที่ 17 มิถุนายนของทุกปีเป็น “วันต่อต้านปัญหาภัยแล้งและฝนแล้งของโลก” (World Day to Combat Desertification and Drought) เพื่อสร้างความตระหนักถึงผลกระทบร้ายแรงจากภาวะภัยแล้ง การเสื่อมโทรมของดิน และการขาดแคลนน้ำ ที่ส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารและการดำรงชีวิตของมนุษย์ รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาวในประเทศไทย ภัยแล้งเป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในรอบปีที่เกิดปรากฏการเอล นิญโญ ส่งผลให้เกิดช่วงฤดูแล้งที่ยาวนานขึ้น หรือฝนไม่ตกตามฤดูกาล ทำให้พื้นที่การเกษตรจำนวนมากต้องประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำ ผลผลิตและรายได้เกษตรกรลดลง ทั้งยังนำไปสู่การอพยพแรงงาน รวมถึงความขัดแย้งในการจัดสรรน้ำในบางพื้นที่ โดยสาเหตุหลักของปัญหาภัยแล้ง ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลให้รูปแบบการตกของฝนและปริมาณน้ำฝนเปลี่ยนไปอย่างมาก รวมถึงการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรที่มีการใช้น้ำสูง อีกทั้งการลดลงของพื้นที่ป่าและต้นน้ำ ทำให้มีแหล่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติลดลง เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทย จังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางต้องเผชิญกับภาวะแล้งต่อเนื่องหลายปี ส่งผลกระทบต่อทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไปในวงกว้าง
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (Thailand Environment Institute: TEI) ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการจัดการภัยแล้งและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและแนวทางในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในด้านทรัพยากรน้ำ อาทิ โครงการพัฒนาแนวทางกลไกความร่วมมือในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อจัดทำแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ โดยใช้พื้นที่ชุ่มน้ำ ณ บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ เป็นกรณีศึกษาในด้านการใช้กลไกความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรน้ำจนนำไปสู่รูปแบบความร่วมมือของรัฐและชุมชนในพื้นที่ในการจัดการทรัพยากรน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมถึงแนวทางการปรับตัวของแต่ละกลุ่มอาชีพ อาทิ กลุ่มทำนา กลุ่มเลี้ยงปลาในบ่อดิน และกลุ่มชาวประมง ยามประสบปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม เพื่อต่อต้านปัญหาภัยแล้งและฝนแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี การสร้างความรู้และความตระหนักต่อปัญหาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ทรัพยากรน้ำอย่างรู้คุณค่า ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนสามารถรับมือกับภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน
Share: