วันท่องเที่ยวโลก 2568 (World Tourism Day 2025) กับสัญญาณสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดี
“การท่องเที่ยวและการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน” เป็นแนวคิดการสื่อสารในโอกาสวันท่องเที่ยวโลกปีนี้ เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพของการท่องเที่ยว ที่ไม่เพียงแต่เป็นการพักผ่อนหรือสร้างรายได้ แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ในการบรรลุเป้าหมายนี้จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ด้วยนโยบายที่ชัดเจน การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการติดตามประเมินผลอย่างเข้มงวด ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ความยืดหยุ่น และความเป็นธรรมทางสังคม อันเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยว
โดยทั่วไปแล้ว การท่องเที่ยวมักสร้างผลกระทบเชิงลบต่อธรรมชาติ เช่น การทิ้งขยะ สร้างมลพิษ หรือการเบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเร่งให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม ขณะที่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อแหล่งท่องเที่ยว ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศที่เปราะบางในพื้นที่ธรรมชาติ ซึมซับความงามและเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชนในพื้นที่ท่องเที่ยว ด้วยการสร้างงานและรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น
“แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” สอดคล้องกับเสียงเรียกร้องขององค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กร โดยเฉพาะ องค์การการท่องเที่ยวโลก (UN Tourism ชื่อเดิม UNWTO) และผู้นำระหว่างประเทศที่เน้นย้ำการลงทุนและพัฒนา “การท่องเที่ยวสะอาด” (Clean Tourism) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีสัญญาณเชิงบวก ดังนี้
- ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น – สำรวจพบว่าเกือบ 70% ของนักท่องเที่ยววางแผนเดินทางอย่างยั่งยืนในปี 2023 และกว่า 80% เชื่อว่าการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดที่ทำให้อุตสาหกรรมต้องปรับตัวไปสู่วิถีท่องเที่ยวรักษ์โลกมากขึ้น
- การลดขนาดคาร์บอนของอุตสาหกรรม – แม้ว่าจำนวนการเดินทางจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาระดับก่อนโควิด-19 แล้วแต่รายงานล่าสุดชี้ว่า ภาคการท่องเที่ยวได้ลดส่วนแบ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเดิม 7.8% ในปี 2019 เหลือ 6.5% ในปี 2023 นั่นหมายความว่า แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคการท่องเที่ยวยังคงเพิ่มสูง แต่ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ถูกควบคุมและลดลงได้มากขึ้น
- เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนความยั่งยืน – ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และสายการบิน เริ่มนำเทคโนโลยีสะอาดมาใช้ เช่น พลังงานทดแทน ระบบจัดการของเสียอัจฉริยะ หรือการขนส่งคาร์บอนต่ำ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและมลพิษ
- ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อมในนโยบายและพันธสัญญา – หลายประเทศและองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนอย่างจริงจัง เช่น การผลักดันกฎหมายสิ่งแวดล้อมภาคการบินระหว่างประเทศ (CORSIA) และมาตรการสนับสนุนโรงแรมสีเขียว เพื่อบังคับใช้อย่างเข้มงวด
“ท่องเที่ยวทุกที่ อย่างมีความรับผิดชอบ” ไม่ได้เป็นเพียงคำขวัญ แต่คือหลักการสำคัญของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตัวอย่างที่เห็นชัด คือ เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ที่สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยได้มีส่วนร่วมกับอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และชุมชน พัฒนาโมเดลการจัดการขยะในแหล่งท่องเที่ยว งานเทศกาล ร้านอาหาร ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบได้ส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกับเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี แหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่ยังมีการจัดการท่องเที่ยวที่ผสมผสานการอนุรักษ์แนวปะการัง การลดการใช้พลาสติกในกิจการท่องเที่ยว กิจกรรมโฮมสเตย์ การทำอาหารพื้นบ้าน และการพาชมธรรมชาติอย่างรับผิดชอบ แนวทางเหล่านี้หากทุกฝ่ายร่วมมือกันและให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นหัวใจหลักของการพัฒนา
“ทุกการเดินทาง คือ พลังร่วมสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลง” เราทุกคน ทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ ชุมชน และภาครัฐ ต่างมีบทบาทขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่จะทำให้การเดินทางแต่ละครั้ง ไม่ใช่เพียงประสบการณ์ส่วนบุคคล แต่คือการร่วมกันสร้างความหมาย และเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อโลกของเรา หากเราเลือกที่จะ “ท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ” ย่อมหมายถึง การเลือกอนาคตที่ดีกว่าสำหรับสิ่งแวดล้อม สังคม และคนรุ่นต่อไป
เรียบเรียงโดย
สุนทรี วัฒนเวส
เจ้าหน้าที่โครงการอาวุโส สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
ขอบคุณแหล่งข้อมูล สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย องค์การการท่องเที่ยวโลก (UN Tourism) มูลนิธิสืบนาคะเสถียร Hospitality Net วิจัยกรุงศรี และWord Travel and Tourism Council
Share: