ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยมีรายงานการเกิดหลุมยุบรวมกันถึง 77 ครั้ง ซึ่งเฉลี่ยแล้วเกิดขึ้นประมาณ 7 ครั้งต่อปี โดยพื้นที่ที่พบการเกิดหลุมยุบมากที่สุด คือ จังหวัดน่าน
นอกจากจังหวัดน่านแล้ว ยังมีอีกหลายภูมิภาคที่ถูกจัดเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยหลุมยุบ เนื่องจากลักษณะทางธรณีวิทยาที่เอื้อต่อการเกิดโพรงใต้ดิน ได้แก่
- ภาคใต้ เป็นอีกพื้นที่ที่พบหลุมยุบขนาดใหญ่บ่อยครั้ง เช่น ตรัง และ สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมีภูเขา หินปูน อยู่มากใต้พื้นดิน
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) บางส่วนก็ยังคงเป็นพื้นที่เฝ้าระวังภัยนี้เช่นกัน ด้วยเหตุผลเดียวกันคือมีการค้นพบชั้น หินปูน ใต้ผิวดิน
‘หลุมยุบ’ เกิดจากอะไร ?
‘หลุมยุบ’ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดมักเชื่อมโยงกับ ‘สมดุลชั้นดิน’ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหินปูนอยู่ใต้ดิน ซึ่งสาเหตุหลัก ของการเกิดหลุมยุบตามธรรมชาติ คือ หินปูนใต้ดินถูกน้ำฝนที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ค่อย ๆ ละลายจนเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่ เมื่อมีน้ำหนักหรือแรงกดทับจากด้านบน โพรงนั้นก็จะพังลงทันที ทำให้พื้นดินยุบตัวลงอย่างเฉียบพลัน แต่ก็ใช่ว่า ‘หลุมยุบ’ จะเกิดได้จากปัจจัยหินปูนใต้ละลายเท่านั้น ปัจจุบันยังมีอีก 1 ตัวแปร คือ Climate Change หรือ ‘โลกเดือด’
Climate Change หรือ ‘โลกเดือด’ กำลังเป็นภัยคุกคามใหม่ ที่ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ‘ตัวกระตุ้น’ หลัก เพราะเมื่อฝนไม่ตกตามฤดูกาล บางช่วงบางปีเกิดฝนทิ้งช่วง ก่อภัยแล้ง บ่อยและหนักขึ้นอย่างผิดปกติ ทำให้คนในหลายพื้นที่ต้องรีบพึ่งพา การสูบน้ำบาดาล ขึ้นมาใช้เพื่ออุปโภคและการเพาะปลูก แต่การสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งของไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ จุดกำเนิดของปัญหา ‘หลุมยุบ’ ที่มาจากการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้
‘หลุมยุบ’ ที่มาจากการสูบน้ำบาดาล เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เมื่อเราได้น้ำมาใช้จากใต้ดิน สิ่งที่ต้องแลกมา คือ การสูญเสียสมดุลใต้ดิน ที่เคยมีมวลของดินและน้ำ พยุงโครงสร้างใต้ดินหายไป ทำให้เกิดโพรงอากาศใต้ดิน ซึ่งนี่เอง คือ ระเบิดเวลาทางธรณี ที่รอเวลาชั้นดินและโครงสร้างอ่อนแอ หรือเกิดแรงกระตุ้นอื่น ๆ เสี่ยงที่จะเกิดการทรุดตัวเป็น ‘หลุมยุบ’ ที่มาจากการสูบน้ำบาดาลในที่สุด
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI มองความไม่แน่นอนของโลกเดือด และมีภัยแล้งอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ทำให้การพึ่งพาและสูบน้ำบาดาลวิธีการแก้ภัยแล้งที่กลายเป็น ‘ปัญหาเรื้อรัง’ ที่เพิ่มโอกาสเกิดหลุมยุบมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ฝนที่ตกหนักผิดฤดูกาล ก็เป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มน้ำหนักและการกัดเซาะดินใต้พื้น ทำให้หลุมยุบรุนแรงขึ้นกว่าที่เคยทางรอดเดียวของเราคือการ “ปรับตัว” (Climate Adaptation) เพราะเราอาจจะควบคุมสมดุลของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เราสามารถ ‘ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด’ เพื่อป้องกันภัยหลุมยุบที่เกิดจากโลกเดือดได้ ซึ่งการปรับตัวนี้ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่คือ “ทางรอด” ที่สำคัญต่อความอยู่รอดของมนุษย์
โดย TEI ชี้ว่า การปรับต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมี 4 ระดับ ได้แก่ ระดับบุคคล ระดับชุมชนและเมือง ระดับประเทศ ระดับนานาชาติ แต่สำหรับระดับชุมชนและเมือง สามารถเข้าถึงการปรับต่อปัญหา แนะแนวทาง ‘ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด’ จากภัย ‘หลุมยุบ’ ที่มาจากการสูบน้ำบาดาลด้วย 4 แนวทาง ดังนี้
TEI เชื่อว่าการ
‘ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด’ จะกลายเป็นอาวุธทางความคิดของคนไทย ที่พร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะจาก
Climate Change หรือ ‘โลกเดือด’
‘หลุมยุบ’ คือ เสียงสะท้อนจากธรรมชาติที่กำลังบอกเราว่า โลกกำลังเร่งเครื่อง เดินรวน และไม่เหมือนเดิม ซึ่งการ
"ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด" คือแนวทางที่จะทำให้ชุมชนของเรามีชีวิตที่ปลอดภัยและมั่นคงในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงนี้
Share: