24 ตุลาคม วันปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศสากล (International Day of Climate Action)

กลุ่มงาน: การปรับตัว

การร่วมกันต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ‘ไม่ใช่ทำพรุ่งนี้....แต่! ต้องทำเดี๋ยวนี้?’

ประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้กำหนดให้วันที่ 24 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศสากล (International Day of Climate Action) เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และองค์กรต่างๆ ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น โดยแนวคิดหรือธีม (Theme) ของปี 2568 คือ Rising Together for a Resilient Planet” หรือ “ร่วมกันเปลี่ยนผ่านสู่โลกที่มีความยืดหยุ่น” เพื่อเป็นการเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนมีการปรับตัวร่วมกัน (Collective Adaptation) มีการนำนวัตกรรมมาใช้ (Innovation) และการสร้างความร่วมมือในการปกป้องโลกเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป ซึ่งแนวคิดของปีนี้ได้เน้นย้ำเรื่องของ “ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ (Climate Justice) และความรับผิดชอบร่วมกัน (Shared Responsibility)” แนวคิดดังกล่าวเป็นการเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ากับประเด็นทางสังคม ความยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นไปอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบางและกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมของชีวิต ตั้งแต่ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) การสาธารณสุข (Public Health) การเข้าถึงน้ำ (Water Access) และการดำรงชีวิต (Livelihoods) จากรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี 2025 (Sustainable Development Report 2025) ระบุว่า ถึงแม้ทั่วโลกจะมีความก้าวหน้าของการดำเนินงานในหลายด้านแต่ในภาพรวมการดำเนินงาน "ยังคงอยู่นอกเส้นทาง (Off-track)" ในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ภายในปี 2030 ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าจะมีเป้าหมายไม่ถึง 20% ที่จะสามารถบรรลุได้ทันตามเวลากำหนด ซึ่งวิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความก้าวหน้าของการดำเนินงาน นอกจากนี้ รายงานยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา 6 ด้านสำคัญ ซึ่ง “การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข จากการประเมินภาพรวมประสิทธิภาพการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย พบว่า ปี 2025 ประเทศไทยได้คะแนนรวม 75.3 คะแนน ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 43 จาก 167 ประเทศ โดยเป้าหมายที่ 13: การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (SDG 13: Climate action) ประเทศไทยได้รับการประเมินเป็น “สีส้ม” หมายถึง เป้าหมายที่มีสถานะท้าทาย (Significant Challenges Remain) โดยมีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับคงที่ไม่คืบหน้า

สำหรับปี 2568 จะมีการจัดประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) ณ เมืองเบเลง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ 10 - 21 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของประเทศภาคีภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ถือเป็นเวทีสำคัญในการผลักดันให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกร่วมมือกันแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยเป้าหมายของ COP30 คือการเดินหน้าปฏิบัติการตาม ความตกลงปารีส (Paris Agreement) อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นที่การปรับปรุงเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ทั้งนี้ในปี 2568 ทุกประเทศภาคีภายใต้กรอบอนุสัญญา UNFCCC จะต้องส่งแผนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ หรือที่เรียกว่า “เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” (Nationally Determined Contributions: NDC) ฉบับที่ 3.0 สำหรับปี ค.ศ. 2035 (พ.ศ. 2578) หรือ NDC 3.0 ให้แก่องค์การสหประชาชาติ ในส่วนของประเทศไทย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการปรับปรุงเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยภายใต้การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 โดยตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกที่ 109.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) ณ ปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) เปรียบเทียบกับระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริง (Absolute Emissions Reduction Target) ณ ปีฐาน ค.ศ. 2019 ภายใต้สัดส่วนจากการดำเนินงานภายในประเทศร้อยละ 70 และขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศร้อยละ 30 รวมถึงการเพิ่มการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน (LULUCF) เป็น 118 MtCO2e ซึ่งจะทำให้ในปี 2035 ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ (Net Emission) ไม่เกิน 152 MtCO2e ซึ่งสอดคล้องตามเส้นทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรักษาอุณภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส สำหรับด้านเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบภารกิจในการศึกษาและขับเคลื่อนให้เกิดโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) ของประเทศ นอกจากนี้ ยังได้จัดทำ “ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) ถือเป็นกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของประเทศไทย ที่เนื้อหาสาระสำคัญของกฎหมายครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านมาตรการมาตรฐานภาคอุตสาหกรรม การสนับสนุนพลังงานสะอาด และระบบขนส่งสาธารณะ ด้านการปรับตัวรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยจากสภาพภูมิอากาศ และด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ผ่านการส่งเสริมบทบาทของประชาชน เอกชน ท้องถิ่น และภาคประชาสังคมในการร่วมขับเคลื่อนนโยบายอย่างยั่งยืน รวมทั้งมีการนำกลไกกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle)” มาปรับใช้ และยังมีกลไกอื่นๆ อีกหลากหลายกลไกที่อยู่ในร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้แก่ การซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emissions Trading System: ETS) ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) การปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Cross-Border Adjustment Mechanisms: CBAM) คาร์บอนเครดิต (Carbon Credits) และกองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Fund)

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินงานในรูปแบบสถาบันวิชาการอิสระ มีความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โลกกำลังเผชิญ จึงได้ร่วมมือกับภาคีทุกภาคส่วนทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศขับเคลื่อนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตั้งแต่ระดับเชิงนโยบายไปสู่การปฏิบัติในเชิงพื้นที่ โดยเน้นการดำเนินงานในทุกมิติทั้งการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดก๊าซเรือนกระจกการส่งเสริมการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ การสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) เครือข่ายภาคธุรกิจด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดเครือข่ายหนึ่งของประเทศไทย ในการร่วมยกระดับองค์กรภาคธุรกิจไทยไปสู่มาตรฐานการเป็นองค์กรต้นแบบธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน (Low Carbon and Sustainable Business) เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามเป้าหมายของประเทศ
 


เรียบเรียงโดย:
สุพรรณิภา หวังงาม
นักวิจัย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
ขอบคุณแหล่งข้อมูล:
  1. https://bizcoinstitute.com/event/international-day-of-climate-action/
  2. https://unstats.un.org/sdgs/report/2025/
  3. https://dashboards.sdgindex.org/
  4. https://dashboards.sdgindex.org/profiles/thailand/