ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด กับ TEI: ฤดูหนาว 2568 เวอร์ชั่นโลกเดือด หน้าตาเป็นอย่างไร?

กลุ่มงาน: การปรับตัว

ฤดูหนาว 2568 เวอร์ชั่นโลกเดือด หน้าตาเป็นอย่างไร?
ลืมภาพฤดูหนาวแบบเดิมๆ ที่ค่อยๆ เย็นและหนาวนานเป็นเดือนไปได้เลย เพราะต่อไปนี้เราจะเจอกับฤดูหนาวแบบสุดขั้ว! นี่คือผลจาก Climate Change ที่ไม่ใช่แค่สัญญาณเตือน แต่คือจุดเปลี่ยนของฤดูกาลที่เกิดขึ้นจริง ทั้งหนาวเร็ว หนาวฉับพลัน และหนาวจัดแบบสุดขั้ว จะมาเยือนไทยแน่นอน... ปีนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศว่าไทยเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2568 และจะลากยาวไปถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 โดยคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย



อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจมองข้ามความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ที่มาจาก Climate Change ที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบของสภาพอากาศทั่วโลกให้ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ฤดูหนาว 2568 จะเป็นอากาศหนาวแบบสุดขั้ว ในบางวัน บางพื้นที่ และจากนั้นจะกลับไปร้อนสลับฝนแบบสุดขั้วอีกเช่นกัน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ จะเกิดขึ้นได้ตลอดช่วงฤดูหนาวของไทยปีนี้

ฤดูหนาว 2568 เวอร์ชั่นโลกเดือด กระทบสังคมและเศรษฐกิจของไทยอย่างไร ?
การเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศในฤดูหนาวปี 2568 ที่แปรปรวนอย่างรุนแรงเช่นนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนไทย 3 ด้าน ดังนี้

1. สุขภาพ: สภาพอากาศที่แปรปรวน เกินกว่าร่างกายมนุษย์จะปรับทัน จะส่งผลต่อสุขภาพเป็นสิ่งแรก ผู้คนจะเจ็บป่วยง่ายขึ้น อาทิ โรคในระบบทางเดินหายใจ โรคที่เกิดการระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะกลุ่ม เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว รวมถึงสภาพอากาศหนาวฉับพลัน อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ห่างไกล ในแง่ของการเข้าถึงอุปกรณ์กันหนาวที่ไม่เพียงพอต่อการรับมืออากาศหนาวแบบสุดขั้ว โดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่ามวลอากาศเย็น กำลังเคลื่อนตัวลงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณภูมิลดฮวบ 2-4 องศาเซลเซียส และบนยอดดอยอาจได้สัมผัสอากาศเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส

2. เกษตร: พืชเศรษฐกิจของไทยบางชนิดที่เตรียมออกดอก ในช่วงอากาศเย็น เมื่อเผชิญกับอากาศเย็นจัดผิดปกติ อาจส่งผลกระทบต่อการออกผลผลิตน้อยลง อาจทำให้ส่งผลต่อราคาจำหน่ายที่จะกระทบผู้บริโภคปลายน้ำ รวมทั้งรายได้ของเกษตรกรเอง
โดยเฉพาะ ‘ชาวนา’ ที่ปลูก ‘ข้าว’ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของประเทศ มีข้อควรระวังเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวปีนี้ ดังนี้

  1. ผลต่อการงอกและระยะต้นกล้า อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 15°C ทำให้เมล็ดข้าวดูดซึมน้ำลดลง และการงอกของเมล็ดล่าช้า เนื่องจากเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการงอก ทำงานช้าลง ต้นกล้าแคระแกร็น และอัตราการรอดต่ำ
  2. ผลต่อการเจริญเติบโตและการสังเคราะห์แสง อุณหภูมิต่ำที่กว่า 18°C ทำให้กระบวนการสังเคราะห์แสงลดลง การเร่งขยายรากช้า ดูดซึมปุ๋ยและธาตุอาหารยากขึ้น มีอาการใบเหลือง
  3. ผลต่อระยะออกดอกและการผสมเกสร อุณหภูมิต่ำที่กว่า 18°C ในช่วงสร้างรวงหรือออกดอก จะทำให้เกิด ภาวะเป็นหมันของเกสรตัวผู้ อัตราการเป็นหมันเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ จำนวนเมล็ดลีบสูง ผลผลิตลดลง
  4. ผลต่อระยะน้ำนมและการสุกของเมล็ด อุณหภูมิต่ำที่กว่า 20°C จะทำให้การเคลื่อนย้ายน้ำตาลลดลง ส่งผลให้เมล็ดไม่เต็ม น้ำหนักเมล็ดลดลง แต่ถ้าอุณหภูมิเย็นเหมาะสม ประมาณ 20–25°C ที่ไม่หนาวจัดเกินไป อาจช่วยให้เมล็ดสะสมแป้งได้ดีขึ้น และคุณภาพเมล็ดดี
นอกจากปัญหาที่ส่งผลต่อผลผลิตในการเพาะปลูกแล้ว ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับ ‘โรคและแมลงศัตรูข้าว’ โดยเฉาะช่วงที่อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20–25°C ความชื้นสัมพัทธ์สูงกว่า 80% มักมีน้ำค้างหรือหมอกในตอนเช้า ซึ่งเป็นปัจจัยก่อโรคไหม้ โรคใบขีดสีน้ำตาล และหนอนห่อใบ ขณะเดียวกันในช่วงที่อากาศเย็นแห้ง อุณหภูมิต่ำกว่า 20°C ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 60% อากาศปลอดโปร่ง แสงแดดจัด จะเป็นช่วงที่แมลงศัตรูข้าวระบาดหนัก อาทิ โรคเมล็ดด่าง เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก และหนอนกอ

3. การท่องเที่ยว: อาจได้รับผลกระทบทางบวก เพราะนักท่องเที่ยวชาวไทย ต่างต้องการสัมผัสอากาศหนาว แต่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยว จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการรองรับทั้งในด้านของผู้ประกอบการ และทรัพยากรธรรมชาติของแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ตระหนักถึงทางสังคมและเศรษฐกิจจากปรากฏการณ์ “สภาพอากาศสุดขั้ว” โดยเฉพาะฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
จึงเสนอกลไกการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) โดยมีทั้งหมด 3 ระดับ ได้แก่ ระดับบุคคล ระดับชุมชนและเมือง และ ระดับประเทศ

‘ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด’
TEI แนะแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) ที่เน้นในระดับบุคคล สำหรับฤดูหนาวปี 2568 เวอร์ชั่นโลกเดือด ดังนี้

ด้านสุขภาพ
  • ปรับตัว เตรียมเครื่องนุ่งหุ่ม อุปกรณ์กันหนาว
  • ปรับสุขภาวะ เสริมภูมิคุ้มกัน โดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์
  • ปรับที่อยู่อาศัย ประตู หน้าต่าง ฝ้า เพดาน ให้พร้อมรับลมหนาว
ด้านเกษตร
  • ปรับแผนเพาะปลูกพืชระยะสั้น เก็บเกี่ยวไว ปลูกพืชทนสภาพอากาศ
  • ปรับแผนงบประมาณ สร้างโรงเรือน ที่ควบคุมสิ่งแวดล้อมได้
  • ปรับแผนการตลาด เพิ่มสัดส่วนการแปรรูป และการสร้างมูลค่าเพิ่ม
ด้านการท่องเที่ยว
  • ปรับปฏิทินการท่องเที่ยว ชูรูปแบบใหม่ที่ไม่อิงฤดูกาล
  • ปรับแผนการตลาด ต้อนรับกลุ่มท่องเที่ยวระยะสั้น แต่สามารถทำได้ทั้งปี
  • ปรับแผนรับมือ อาคารบ้านพัก รูปแบบการเดินทาง และประชาสัมพันธ์มาตรการดูแลนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่น

เกราะป้องกันที่ดีที่สุด คือเกราะที่สร้างร่วมกัน การรับมือสภาพอากาศสุดขั้ว ไม่ใช่ภารกิจของใครคนใดคนหนึ่ง ปรับแค่ตัวบุคคลอาจยังไม่พอ แต่ต้องพร้อมกัน ระดับชุมชน ต้องมี ระบบเตือนภัย และ เครือข่ายดูแลกันและกันที่ทำงานได้จริง

ระดับประเทศ: ต้องมีนโยบายที่ชัดเจน ข้อมูลพยากรณ์ ที่แม่นยำ และ ระบบสาธารณสุข ที่แข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น ภัยคุกคามไม่ใช่แค่ความหนาว แต่คือ ‘ความเหวี่ยง’ ของอุณหภูมิ ที่อาจทำให้เราเจอวันร้อนจัดสลับกับวันเย็นยะเยือกได้ในฤดูเดียวกัน

ในยุคโลกเดือด การปรับตัวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด TEI ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเชิญชวนคนไทย ‘ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด’ เพื่อสร้างสังคมที่พร้อมรับมือและปลอดภัยจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศนี้ไปด้วยกัน