กลุ่มงาน: การปรับตัว
ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด กับ TEI
"Rain Bomb" หรือ "ระเบิดฝน" เป็นปรากฏการณ์ที่กำลังสร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลก ภัยพิบัติจากสภาพอากาศแปรปรวน สุดขั้วที่เปรียบเสมือน "สึนามิจากฟากฟ้า" ซึ่งทวีความรุนแรงและถี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและไม่สามารถคาดการณ์ได้
ตัวเลขที่น่าตกใจ ! ข้อมูลคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ จากกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ(สสน.) แสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2566-2568) มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2566 มีปริมาณฝน 1,408 มม. เพิ่มขึ้นเป็น 1,545 มม. ในปี 2567 และพุ่งสูงถึง 1,711 มม. ในปี 2568 (ข้อมูล ณ 30 ก.ย.) จนเกินศักยภาพการระบายน้ำที่มีอยู่
Rain Bomb คืออะไร และเกิดจากอะไร ?
Rain Bomb หรือ ระเบิดฝน คือปรากฏการณ์ที่ฝนไม่ได้ตกต่อเนื่องตามฤดูกาลแบบที่เราคุ้นเคย แต่กลับ "ถล่ม" ลงมาในคราวเดียวอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเป็นผลกระทบที่น่าตกใจจาก 'การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ' (Climate Change) หรือ โลกเดือด ที่ทำให้อากาศมีความชื้นสูงขึ้นและมีมวลน้ำเพิ่มขึ้น เมื่อมวลน้ำมหาศาลตกลงมาจึงรุนแรงกว่าปกติ
ดร.ภาณุ ตรัยเวช ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ จากคณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ อธิบายไว้ว่าว่า ในทางเทคนิค Rain Bomb มีชื่อเรียกทางการว่า Downdraft (ดาวน์ดราฟต์) หรือ Microburst (ไมโครเบิร์ส) ซึ่งหมายถึง กระแสอากาศที่ไหลลงสู่พื้นอย่างรุนแรง แล้วแผ่ออกจากศูนย์กลางในแนวราบ
Rain Bomb ส่งผลกระทบอย่างไร?
ความรุนแรงของ Rain Bomb คือปริมาณฝนที่มหาศาล (อาจสูงถึง 200-400 มิลลิเมตร) ที่ตกลงมาในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และน้ำป่าไหลหลาก
จุดที่อันตรายที่สุดคือ ยากต่อการคาดการณ์ล่วงหน้า ทำให้ประชาชนในพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือได้ยาก
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
ในประเทศไทย เราเห็นตัวอย่างชัดเจนจากเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันในภาคเหนือ (เชียงราย เชียงใหม่)และพื้นที่ภาคใต้ (ชุมพร, ระนอง ฯลฯ) เมื่อปี 2567 ที่ส่งผลกระทบกว่า 43,595 ครัวเรือน รวมถึงปัญหาน้ำท่วมขังเฉียบพลันในเขตเมืองอย่างเชียงใหม่และกรุงเทพฯ ที่ระบบระบายน้ำไม่สามารถรองรับได้ทัน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและการจราจรอย่างมาก
ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยยังแสดงให้เห็นว่า ในปี 2567 มีเหตุน้ำท่วมเกิดถึง 34,881 ครั้ง และดินถล่ม 310 ครั้ง สะท้อนความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตกจาก Rain Bomb
ทั่วโลก ที่แคว้นบาเลนเซีย ประเทศสเปน เพิ่งเผชิญเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี มีผู้เสียชีวิตกว่า 65 ราย ขณะที่รายงาน Climate Risk Index 2025 ยืนยันว่า ภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว (โดยเฉพาะน้ำท่วม) ได้ส่งผลกระทบต่อประชากรโลกกว่า 765,000 คน (ในช่วงปี 1993-2022) และสร้างความเสียหายต่อชีวิตและเศรษฐกิจมหาศาล
ถึงเวลา ‘ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด’ จาก Rain Bomb ภัยพิบัติยุคโลกเดือด?
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ตระหนักถึงปัญหา "ระเบิดฝน" (Rain Bomb) เพราะนี่คือสัญญาณเตือนว่า "รูปแบบฝนแบบเก่าได้สิ้นสุดลงแล้ว" และเราทุกคน จำเป็นต้องรู้ถึงความเสี่ยงจากฟ้า ทางรอดเดียวของเราคือการ ‘ปรับตัว’ หรือ Climate Adaptation เพื่ออยู่กับความผันผวนสภาพอากาศสุดขั้วที่กำลังจะมาถึงและอาจสร้างความเสียหายรุนแรง... จึงขอเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการสื่อสารประเด็น Climate Adaptation เพื่อประโยชน์สาธารณะ"
.
TEI จึงขอแนะนำแนวทาง การปรับตัวใน ระดับบุคคล ระบบเมือง และระดับประเทศ ให้รู้เท่าทันความเสี่ยงของ Rain Bomb ดังนี้
ระดับบุคคล
Share: