เปิดทางเลือกใหม่ ในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของโลกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มักดำเนินการผ่านการจัดตั้ง “พื้นที่คุ้มครอง” (Protected Areas: PA) ซึ่งประเทศไทยใช้คำว่า “พื้นที่อนุรักษ์” ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ฯลฯ พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการบริหารจัดการโดยรัฐและอยู่ภายใต้กฎหมายเฉพาะ แม้พื้นที่เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมพอ
โดยเฉพาะเมื่อประชาคมโลกตั้งเป้าหมายใหม่ คือ “30x30” หรือการอนุรักษ์พื้นที่ธรรมชาติอย่างน้อย 30% ของโลกภายในปี ค.ศ. 2030 ตามกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก หรือ KM-GBF (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework)
ขณะเดียวกัน การดูแลความหลากหลายทางชีวภาพโดยพึ่งพาเพียงพื้นที่อนุรักษ์แบบเดิม ยังมีข้อจำกัดในด้านงบประมาณ การใช้ประโยชน์พื้นที่ หรือความไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชนโดยรอบ จึงเกิดแนวคิด“OECM” (Other Effective area-based Conservation Measures) หรือมาตรการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกพื้นที่คุ้มครอง เพื่อให้มีการดูแลจัดการพื้นที่อันส่งผลดีต่อธรรมชาติในระยะยาว ทั้งการรักษาระบบนิเวศ วัฒนธรรม และวิถีชุมชน
แนวคิด OECM เปิดทางให้ “การอนุรักษ์มีความหลากหลายและยืดหยุ่น” ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าไม้ของชุมชน พื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน พื้นที่ฟื้นฟูระบบนิเวศของภาคเอกชน หรือแม้แต่แนวเชื่อมต่อทางนิเวศในเมือง เป็นต้น โดยสามารถบริหารจัดการร่วมกันระหว่างรัฐ ท้องถิ่น ชุมชน องค์กรศาสนา มหาวิทยาลัย ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีพื้นที่ OECM กว่า 6,400 แห่ง ในขณะที่พื้นที่อนุรักษ์แบบเดิม (PA) มีมากกว่า 300,000 แห่ง (ฐานข้อมูล WDPA, มิถุนายน 2568) แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังก้าวไปสู่การอนุรักษ์แบบเปิดกว้างและครอบคลุมมากขึ้น
ถอดรหัสแรงจูงใจ ในการขับเคลื่อน OECM
หลายประเทศได้ริเริ่มระบบ OECM เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ โดยประกาศรับรองพื้นที่ที่ผ่านการประเมินตามเกณฑ์ที่กำหนด จึงควรติดตามดูว่าแรงจูงใจอะไรที่ใช้การส่งเสริม OECM ในประเทศเหล่านั้น เพื่อนำมาปรับใช้ต่อไป
1. การได้รับการยอมรับและเสริมภาพลักษณ์เชิงบวก
การเป็นพื้นที่ OECM ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้แก่ชุมชน องค์กร หรือภาคธุรกิจ ในฐานะผู้มีบทบาทในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในยุคที่แนวคิด ESG (Environmental, Social and Governance) ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
ดังตัวอย่างของประเทศญี่ปุ่นซึ่งบริษัทเอกชนสามารถเสนอพื้นที่สีเขียวของตนเป็น Corporate OECM เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและเสริมภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนผ่านระบบ Biodiversity support certificates เพื่อมอบแรงจูงใจเชิงสัญลักษณ์แก่บริษัทที่สนับสนุน OECM ขณะที่องค์กรอนุรักษ์และองค์กรไม่แสวงหากำไรในประเทศออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร เสนอพื้นที่เอกชนหรือพื้นที่เมืองเข้าเป็น OECM เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือและเข้าถึงทุนสนับสนุน ส่วนหน่วยงานท้องถิ่นในประเทศเกาหลีใต้และฟินแลนด์ ใช้ OECM เป็นเครื่องมือสื่อสารภาพลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของเมืองหรือเทศบาล
2. ความมั่นคงในการตั้งถิ่นฐานและธำรงวัฒนธรรมดั้งเดิม
การได้รับการรับรองพื้นที่เป็น OECM ของกลุ่มชนพื้นเมือง ชาติพันธุ์ และชุมชนดั้งเดิมที่มีระบบจัดการทรัพยากรของตนเอง ช่วยรักษาสิทธิในการตั้งถิ่นฐานหรือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติตามวิถีดั้งเดิม ลดความเสี่ยงจากการเวนคืน การรุกล้ำ หรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พื้นที่โดยไม่ได้รับความยินยอม รวมถึงเป็นการยืนยันว่ารัฐและระบบกฎหมายมีการยอมรับอัตลักษณ์ของชุมชนเหล่านั้น
ดังตัวอย่างของประเทศแคนาดาที่มีการรับรองพื้นที่ที่ชนพื้นเมืองที่เครือข่าย Indigenous Guardians ดูแล ให้เป็นพื้นที่ OECM เช่นเดียวกับประเทศอินเดียมีการรับรองพื้นที่ “Sacred Groves” และเกษตรกรรมดั้งเดิม เป็นพื้นที่ OECM เพื่อธำรงความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรม ประเทศฟิลิปปินส์ได้รับรองพื้นที่ Ancestral Domains ซึ่งชนพื้นเมืองดูแล เพื่อปกป้องสิทธิชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นจากแรงกดดันภายนอก ขณะที่ประเทศโคลอมเบียและเปรูเสนอให้พื้นที่ป่าชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทฟื้นฟูระบบนิเวศเป็นพื้นที่ OECM เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางที่ดินและการธำรงวิถีชีวิตท้องถิ่น

3. โอกาสทางเศรษฐกิจ
พื้นที่ OECM มักได้รับการเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักและสร้างความเชื่อมั่นแก่สังคม เปิดโอกาสในการสร้างรายได้ที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การประกอบกิจการเพื่อสุขภาวะ และการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต
ตัวอย่างจากประเทศออสเตรเลียแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเอกชนเจ้าของกิจการส่งเสริมสุขภาพ (Wellbeing retreat) ซึ่งใช้พื้นที่ธรรมชาติในการฟื้นฟูสุขภาพกายและจิต การรับรองเป็นพื้นที่ OECM ทำให้พื้นที่เหล่านั้นเป็นที่รู้จักและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มารับบริการ ในรัฐควีนส์แลนด์ยังมีโครงการ “Land Restoration Fund” ที่ผสานเครดิตคาร์บอนกับเครดิตด้านความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อสร้างผลตอบแทนทางการเงินที่มากขึ้นจากการอนุรักษ์ ส่วนประเทศแอฟริกาใต้มีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับเจ้าของที่ดินที่มีความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งสามารถยื่นขอรับรองเป็นพื้นที่ OECM ได้เช่นกัน แสดงให้เห็นว่า OECM ไม่เพียงแต่เป็นกลไกการอนุรักษ์ แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจที่หลากหลายด้วย
4. สิทธิประโยชน์จากรัฐ
ความชัดเจนของสิทธิประโยชน์จากรัฐของพื้นที่ OECM ทั้งการเข้าถึงงบประมาณ เครื่องมือจัดการ ข้อมูลวิชาการ และการสนับสนุนในระดับนโยบาย ถือเป็นแรงจูงใจสำคัญ ทำให้ OECM “กลายเป็นโอกาส มากกว่าภาระ”
ในออสเตรเลีย พื้นที่ลักษณะ OECM ได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐหลายด้าน โดยเฉพาะการสนับสนุนทางการเงินสำหรับชุมชนและเจ้าของที่ดินเอกชน ด้านเทคนิคและการฝึกอบรม ตลอดจนการนับรวมพื้นที่เหล่านี้ใน National Reserve System (NRS) ซึ่งช่วยยกระดับการยอมรับในเชิงนโยบายและเปิดโอกาสเข้าถึงทรัพยากรเพิ่มเติมจากภาครัฐ ประเทศเกาหลีใต้ให้หน่วยงานท้องถิ่นที่เสนอพื้นที่เข้าเป็น K-OECM สามารถขอรับงบประมาณเพิ่มเติมจากรัฐบาลกลาง ประเทศแคนาดาโครงการ CAPCI ให้ทุนและสนับสนุนทางเทคนิคแก่กลุ่มชนพื้นเมืองและองค์กรท้องถิ่นที่ร่วมเสนอพื้นที่เป็น OECM อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ของรัฐในการส่งเสริมความหลากหลายของรูปแบบการอนุรักษ์
5. ความยั่งยืนของระบบนิเวศ
พื้นที่ OECM มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ระบบนิเวศ โดยช่วยรักษาถิ่นอาศัยของชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นหรือที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เชื่อมโยงภูมิทัศน์ธรรมชาติ เป็นแนวกันชนทางนิเวศ (Buffer zone) และรองรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว
หลายประเทศในยุโรปเสนอพื้นที่สีเขียวในชนบทและแนวเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่อนุรักษ์ให้เป็น OECM เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันของระบบนิเวศ เช่นเดียวกับในประเทศจีน ขณะที่องค์กร Bush Heritage Australia เสนอกลุ่มพื้นที่กึ่งแห้งแล้งที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูระบบนิเวศให้เป็น OECM เพื่อรักษาฐานพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพเฉพาะถิ่น ด้านประเทศในลาตินอเมริกา เช่น โคลอมเบียและเปรู มีพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับการยอมรับเป็น OECM จากการจัดการอย่างยั่งยืน โดยยังคงแนวป่าหรือระบบนิเวศธรรมชาติควบคู่กับการผลิตเพื่อยังชีพ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยและองค์กรวิชาการในหลายประเทศยังร่วมบริหารจัดการพื้นที่ธรรมชาติ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ วิจัย และเฝ้าระวังความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรักษาคุณค่าของพื้นที่ในมิติเชิงนิเวศอย่างยั่งยืน
ทางเลือกที่หลากหลาย เพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ
การผลักดันพื้นที่ OECM เป็นการเปิดทางเลือกใหม่ ที่ยืดหยุ่น ครอบคลุม และสอดคล้องกับบริบทของผู้ดูแลพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นชุมชน ชนพื้นเมือง หน่วยงานท้องถิ่น องค์กรวิชาการ หรือภาคเอกชน บทเรียนจากหลากหลายประเทศชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ OECM สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่พื้นที่ป่าธรรมชาติ พื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน พื้นที่เพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศ พื้นที่วิจัย ไปจนถึงพื้นที่ทางวัฒนธรรมและจิตวัญญาณ ซึ่งต่างมีบทบาทร่วมกันในการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพในระยะยาว
แรงจูงใจที่ทำให้บุคคลหรือองค์กรเสนอพื้นที่เป็น OECM นั้น มีความหลากหลายเช่นกัน ตั้งแต่ความภาคภูมิใจและการได้รับการยอมรับ การธำรงสิทธิชุมชนและวัฒนธรรมดั้งเดิม โอกาสทางเศรษฐกิจ การสนับสนุนจากรัฐ ไปจนถึงความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง สิ่งที่ชัดเจนคือ “ไม่มีแรงจูงใจแบบเดียวที่เหมาะกับทุกพื้นที่” การออกแบบระบบแรงจูงใจที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องคำนึงถึงเงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจ นิเวศ และการบริหารจัดการอย่างรอบด้าน
หลีกเลี่ยงการใช้ OECM เพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงปริมาณของประเทศในระยะสั้น ขณะเดียวกัน การรักษาคุณภาพของการจัดการพื้นที่ OECM อย่างต่อเนื่องในระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สถานภาพของพื้นที่นั้นมีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับในระดับสากล
ข้อเสนอสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ OECM จึงต้องพัฒนาระบบแรงจูงใจแบบผสมผสานที่เชื่อมโยงการรับรองเชิงสังคม เช่น การมีส่วนร่วมและการยอมรับของชุมชน แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ เช่น ตลาดคาร์บอน การลดหย่อนภาษีหรือค่าธรรมเนียม และสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ เช่น งบประมาณสนับสนุน ควบคู่กับ
การวางระบบสนับสนุนระยะยาว เช่น กลไกการติดตามผล กองทุนอนุรักษ์ และการกำกับดูแลที่โปร่งใสและมีส่วนร่วม เพื่อให้ OECM ไม่ใช่เพียง “พื้นที่บนแผนที่” แต่เป็น “ระบบความร่วมมือเพื่อธรรมชาติ” ที่ยืนหยัดได้จริงในระดับพื้นที่
เอกสารประกอบการเรียบเรียง
Carly, L. (2024). Evaluating Australia’s diverse approaches to OECM. Conservation Biology.
Harry, A. (2024). Global status of OECM: Comparative analysis and trends. IUCN.
Huang, Y.-C. (2025). Urban OECM and biodiversity stewardship: A university-based model.
International Union for Conservation of Nature (IUCN). (2021). Status of OECM in Asia. IUCN Asia Regional Office.
International Union for Conservation of Nature (IUCN). (2024a). OECM Guidance: Supporting diverse governance and effective conservation.
International Union for Conservation of Nature (IUCN). (2024b). Guidance to advance OECM in Asia. IUCN Asia Regional Office.
International Union for Conservation of Nature (IUCN). (2024c). APAP Roadmap for OECM: Implementation strategies for Asia-Pacific. IUCN WCPA-APAP.
James, P. (2024). Australia’s carbon farming and OECM integration.
James, P. (2025). Common misconceptions about OECM.
Xiaoqian, W. (2025). China in alignment with the Kunming–Montreal Global Biodiversity Framework.
Source: TEI
Share: